โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

รู้จัก 'ฟาวิพิราเวียร์' ตัวยาต้าน 'โควิด-19' 

กรุงเทพธุรกิจ

เผยแพร่ 20 มี.ค. 2563 เวลา 19.15 น.

บุคลากรทางการแพทย์ในทุกประเทศที่กำลังเผชิญกับ "โควิด-19" กำลังพยายามควบคุมสถานการณ์ และคิดค้นแนวทางในการรักษาโรคนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด หนึ่งในนั้นคือ "ฟาวิพิราเวียร์" ตัวยาที่มีการค้นพบว่าสามารถต้าน "โควิด-19" ได้ในระดับที่น่าพอใจ

บทความ“การค้นคว้ายาต้านไวรัสโควิด-19 ตอนที่ 1 : ฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir)” โดยรองศาสตราจารย์ดร. เภสัชกรหญิงนงลักษณ์สุขวาณิชย์ศิลป์หน่วยคลังข้อมูลยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลเปิดเผยข้อมูลของการศึกษาค้นคว้า'ฟาวิพิราเวียร์' ในช่วงที่ผ่านมาว่า

ในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีกลุ่มนักวิจัยชาวจีนได้ตรวจหาฤทธิ์ยาและสารอื่นๆกว่า70,000 ชนิดโดยใช้เทคโนโลยีจำลองสถานการณ์บนคอมพิวเตอร์(computer simulation) และการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ในหลอดทดลองเพื่อหาศักยภาพของยาหรือสารอื่นเหล่านั้นในการนำมาใช้รักษาโรคปอดอักเสบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้พบยาที่น่าสนใจบางชนิดเช่น“ฟาวิพิราเวียร์(favipiravir)” “คลอโรควินฟอสเฟต(chloroquine phosphate)” และ“เรมเดซิเวียร์(remdesivir)”

158468919486
158468919486
  •  ข้อมูลทั่วไปของยา “ฟาวิพิราเวียร์” 

ฟาวิพิราเวียร์มีหลายชื่อเรียกอาทิ T-705 ส่วนชื่อการค้าคือAvigan และFavilavir มีลักษณะโครงสร้างเป็นอนุพันธ์ไพราซีนคาร์บอกซาไมด์(pyrazinecarboxamide derivative) ค้นพบโดยบริษัทโตยามะเคมิคอล(Toyama Chemical Co., Ltd) ในประเทศญี่ปุ่น 

ยานี้ได้รับอนุมัติให้ใช้ในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนมีนาคมพ.ศ. 2557 เพื่อใช้รักษาโรคไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผลมีการใช้ยานี้ในช่วงที่มีการระบาดอย่างหนักของไวรัสอีโบลา(Ebola virus) ในแถบแอฟริกาตะวันตกช่วงปีพ.ศ. 2557 - 2559 

จากข้อมูลในอดีตมีผู้ใช้ยานี้ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครสุขภาพดีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่และผู้ป่วยโรคอีโบลามีจำนวนไม่น้อยกว่า2,000 คนพบว่ายามีความปลอดภัยข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้ยานี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับยาต้านโคโรน่าไวรัสชนิดอื่นคือปัญหาเรื่องไวรัสดื้อยา 

ยานี้ได้รับอนุมัติให้ใช้ในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 เพื่อใช้รักษาโรคไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล มีการใช้ยานี้ในช่วงที่มีการระบาดอย่างหนักของไวรัสอีโบลา (Ebola virus) ในแถบแอฟริกาตะวันตกช่วงปี พ.ศ. 2557 - 2559 

อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมายาฟาวิพิราเวียร์ได้รับอนุมัติในประเทศจีนให้ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้ใหญ่และอนุญาตให้นำมาใช้ในการศึกษาทางคลินิกกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้ขณะนี้ในประเทศเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการพิจารณาขออนุมัติทะเบียนยาแบบเร่งด่วน(fast-track approval) เพื่อใช้รักษาโควิด-19 ด้วยเช่นกัน

สำหรับสาเหตุที่ทำให้“ฟาวิพิราเวียร์(favipiravir)” ได้รับความสนใจมากกว่ายาชนิดอื่นๆเนื่องจากข้อมูลเบื้องต้นที่พบว่ายาฟาวิพิราเวียร์มีประสิทธิภาพดีต่ออาร์เอ็นเอไวรัสหลายชนิดช่นไวรัสไข้หวัดใหญ่(influenza virus), ไวรัสโรคปากและเท้าเปื่อย(foot-and-mouth disease virus), ไวรัสไข้เหลือง(yellow fever virus)  อีกทั้งได้ทดลองใช้รักษาโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรน่าโรคโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่นประเทศจีนและที่ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว

  •  เภสัชวิทยาของยา "ฟาวิพิราเวียร์" 

ทั้งนี้ ในมิติทางเภสัชวิทยาของยาฟาวิพิราเวียร์ พบว่าการที่ยานี้จะมีฤทธิ์ต้านไวรัสได้ต้องถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกายโดยเอนไซม์ภายในเซลล์ได้เป็นฟาวิพิราเวียร์ไรโบซิลไตรฟอสเฟต(favipiravir ribosyl triphosphate) ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส(RNA-dependent RNA polymerase หรือRNA replicase) ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าวมีความสำคัญในการเพิ่มจำนวนไวรัส ดังนั้นเมื่อเอนไซม์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้จึงยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัส

นอกจากนี้สารดังกล่าวยังทำให้เกิดการสร้างสารพันธุกรรมอาร์เอนเอของไวรัสที่ผิดปกติและทำให้ไวรัสตายยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ยับยั้งการสร้างอาร์เอ็นเอและดีเอ็นเอในเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ของคนและสัตว์ 

ยานี้ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารได้ดีเกือบสมบูรณ์เกิดระดับยาสูงสุดภายใน1 ชั่วโมง(ช่วงตั้งแต่30 นาทีถึง1 ชั่วโมง) ยาถูกเปลี่ยนสภาพที่ตับโดยอาศัยเอนไซม์แอลดีไฮด์ออกซิเดส(aldehyde oxidase) เป็นส่วนใหญ่อาศัยเอนไซม์แซนทีนออกซิเดส(xanthine oxidase) เพียงเล็กน้อย 

เกิดเป็นสารที่ไม่มีฤทธิ์และถูกขับออกทางปัสสาวะยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อัลดีไฮด์ออกซิเดสได้ด้วยจึงยับยั้งการเปลี่ยนสภาพของตัวยาเองด้วยเหตุนี้ค่าทางเภสัชจลนศาสตร์ (กระบวนการที่ร่างกายจัดการกับยา ตั้งแต่การนำยาเข้าสู่ร่างกาย การดูดซึม การกระจายยาผ่านไปส่วนต่างๆ ของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงยา และการขจัดออกจากร่างกาย) บางอย่างของยาจึงไม่ได้แปรผันเป็นเส้นตรงกับขนาดยาที่ได้รับการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่ายาผ่านรกและขับออกทางน้ำนมได้ยามีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อลูกในท้องและอาจทำให้ลูกในท้องพิการได้โดยเฉพาะเมื่อได้รับยาในขนาดสูง 

158468953271
158468953271
  •  ฟาวิพิราเวียร์ กับการนำไปใช้จริง 

เคสล่าสุดที่เห็นได้ชัดเจนจากการใช้ฟาวิพิราเวียร์ต้านโควิด-19 คือรายจากxinhuathai เมื่อวันที่17 มีนาคมที่ผ่านมาว่าเจ้าหน้าที่ทางการจีนเปิดเผยว่าจีนดําเนินการ ทดลองทางคลินิกกับฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ยาต้านไวรัสก่อโรคไข้หวัดใหญ่ที่แสดงประสิทธิผล ทางการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในระดับดี

โดยผู้ป่วยโรคโควิด-19 จํานวนมากกว่า80 รายที่เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกในโรงพยาบาลประชาชนแห่งที่3 ของเมืองเซินเจิ้นมณฑลกว่างตงทางตอนใต้โดยมีผู้ป่วยได้รับยาฟาวิพิราเวียร์35 รายและผู้ป่วยกลุ่มควบคุม(Control group) อีก45 ราย

การทดลองดังกล่าวพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์มีผลการตรวจหาไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่กลายเป็นลบในระยะเวลาอันสั้นกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์

นอกจากนั้นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่ม(randomized) ในหลายสถาบันนําโดยโรงพยาบาลจงหนานของมหาวิทยาลัยอู่ฮั่นก็บ่งชี้ว่าการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ด้วยยาฟาวิพิราเวียร์สัมฤทธิ์ผลดีกว่ามากเช่นเดียวกัน

  • การใช้ "ฟาวิพิราเวียร์" ในไทย

ในการนำมามีส่วนช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในไทยด้วยโดยนายแพทย์ ณรงค์ อภิกุลวณิชรองอธิบดีกรมการแพทย์แถลงข่าวไปก่อนหน้านี้(10 มี.ค.) ว่า“ฟาวิพิราเวียร์” (favipiravir) ขณะนี้ประเทศไทยมีอยู่ประมาณ5 หมื่นเม็ดและจะกระจายไปทั่วประเทศ โดยส่วนหนึ่งจะอยู่ที่สถาบันบำราศนราดูรส่วนที่สองคือโรงพยาบาลของกรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขได้แก่โรงพยาบาลราชวิถีโรงพยาบาลทรวงอกโรงพยาบาลสังกัดกทม. และโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ต่างๆจากนั้นจะกระจายไปตามโรงพยาบาลใหญ่ในหัวเมืองต่างๆและต้องส่งต่อไปถึงโรงพยาบาลระดับชุมชนซึ่งเป็นขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยในระดับอาการที่มีการใช้ยาทั้งนี้ยากระทรวงสาธารณสุขยังไม่มีสารตั้งต้นในการผลิตยารักษาขั้นตอนอยู่ระหว่างการเตรียมการเจรจาจากประเทศที่มีสารตั้งต้นการผลิต  ส่วนจะต้องสำรองยารักษาปริมาณเท่าไหร่นั้นต้องปรับไปตามสถานการณ์แต่เป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขคือให้มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุด

การค้นพบและการพยายามพัฒนาสูตรยาในการต้าน“โควิด-19” นับเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยในขณะนี้อย่างไรก็ดีการไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะ2 เมตรในช่วงนี้กินร้อนใช้ช้อนส่วนตัวและหมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ยังเป็นการป้องกันที่ดีที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการระบาดในระยะนี้

ที่มา: คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล xinhuathai PPTV

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0